Rapid Test
ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องรู้จัก “ Rapid Test ” เนื่องจากในช่วงนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงที่ไทยกำลังประสบกับวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างหนัก ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ประชาชนเกิดความตื่นตัวมากขึ้น และต่างพากันไปต่อคิวเพื่อรับการตรวจหาเชื้อเป็นจำนวนมาก ทั้งที่จุดตรวจและโรงพยาบาล จึงทำให้เกิดความแออัด และยังเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อโรคอีกด้วย
ทางรัฐบาลจึงได้ประกาศให้มีการใช้ Rapid Antigen Test เพื่อให้ประชนชาชนนำไปใช้ตรวจหาเชื้อเองในเบื้องต้นได้ ซึ่งจะให้ผลตรวจที่รวดเร็วกว่าการตรวจแบบ PT-PCR ที่โรงพยาบาล และช่วยลดความแออัดได้ ในบทความนี้จะพาผู้อ่านทุกคนไปดูข้อมูลกันว่า Rapid Test คืออะไร มีกี่แบบ และมีวิธีการตรวจเช็คอย่างไรบ้าง ?
Rapid Antigen Test คืออะไร ?
Rapid Antigen Test หรือ Rapid Test คือ ชุดตรวจหาเชื้อโควิด ที่ประชาชนทั่วไปสามารถซื้อไปตรวจเองที่บ้านได้ โดยสามารถใช้ตรวจหาเชื้อได้อย่างรวดเร็ว และใช้เวลารอผลประมาณ 15 – 30 นาทีเท่านั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นการตรวจแบบ Rapid Test ก็เป็นการตรวจหาเชื้อเพื่อคัดกรองในเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งหากต้องการยืนยันผลก็ยังจำเป็นต้องไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาลด้วยวิธี PT-PCR อีกครั้งอยู่ดี
การใช้งาน Rapid Test เหมาะกับใคร
สำหรับผู้ที่เหมาะกับการใช้งาน Rapid Test จะเป็นผู้ที่เคยสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ และคาดว่าตัวเองมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ รวมถึงกลุ่มที่อาจจะติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสที่จะแพร่เชื้อต่อได้ง่าย จึงจำเป็นต้องได้รับการตรวจหาเชื้ออย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทราบอาการและทำการรักษาได้ทันเวลา
ขอบคุณภาพจาก : The Matter
ชนิดของการตรวจแบบ Rapid Test
1. Rapid Antigen Test
Rapid Antigen Test คือ การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในร่างกาย ด้วยการเก็บสารคัดหลั่งจากทางจมูกและลำคอ หรือการ Swap เพื่อนำตัวอย่างที่ได้ไปตรวจหาองค์ประกอบของเชื้อไวรัส โดยการจะตรวจหาเชื้อด้วยวิธีนี้ให้ได้ผลที่แม่นยำนั้น ผู้ตรวจจำเป็นจะต้องตรวจหลังจากที่คาดว่าตัวเองได้รับเชื้อมาแล้ว 5 – 14 วัน เนื่องจากหากตรวจเร็วกว่านี้ ร่างกายจะยังมีเชื้อในปริมาณที่น้อยอยู่ อาจจะทำให้ตรวจไม่พบเชื้อได้
2. Rapid Antibody Test
Rapid Antibody Test คือ การตรวจหาภูมิคุ้มกันเชื้อโควิด-19 ด้วยการเจาะเลือดจากปลายนิ้วหรือแขน ซึ่งวิธีนี้ปัจจุบันยังไม่ได้นำมาใช้ เนื่องจากผลตรวจ Rapid Test ประเภทนี้มีความคลาดเคลื่อนสูง โดยภูมิคุ้มกันนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้ตรวจเคยติดเชื้อมาก่อนและหายดีแล้ว หรือมีภูมิคุ้มกันมาจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดก็ได้เช่นกัน จึงทำให้แยกออกได้ยาก
ขอบคุณภาพจาก : Komchadluek
การใช้งาน Rapid Test ในประเทศไทย เป็นแบบไหน
ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 ไทยได้อนุมัติใช้ชุดตรวจหาเชื้อโควิดแบบ Rapid Test โดยจะกำหนดให้ใช้ได้เฉพาะชนิด Rapid Antigen Test เท่านั้น ซึ่งประชาชนสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา เพื่อนำไปใช้ตรวจหาเชื้อเองที่บ้านได้ เนื่องจากจะใช้วิธีการตรวจแบบ Swap จึงทำให้ใช้งานได้ง่าย รวมถึงยังมีความแม่นยำและปลอดภัยกว่าวิธีการตรวจหาภูมิคุ้มกัน
Rapid Test ราคา เท่าไหร่
สำหรับราคาของ Rapid Antigen Test ในไทยกำลังจะวางขายนั้น จะมีราคาอยู่ที่ประมาณชุดละ 300 – 400 บาท โดยชุดตรวจของแต่ละยี่ห้อก็จะมีราคาที่แตกต่างกันไป แต่ราคาก็จะไม่ได้หนีกันมากนัก
ซึ่งเมื่อลองเปรียบเทียบราคาดู จะเห็นว่า Rapid Test ในบ้านเรามีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าชุดตรวจที่ขายในต่างประเทศ โดยบางประเทศอย่างเยอรมันมีราคาเพียง 30 – 40 บาทต่อชุดเท่านั้นเอง ( ซึ่งทางผู้เขียนก็แอบสงสัยเหมือนกัน ว่าทำไมน้อออออ ทำไมราคา Rapid Test ในบ้านเราถึงราคาสูงเพียงนี้ ! 🤔 )
ข้อควรระวังเมื่อตรวจโควิด-19 ด้วย Rapid Antigen Test
- ไม่ควรทานอาหารหรือดื่มอะไรก่อนทำการตรวจหาเชื้ออย่างน้อย 30 นาที
- หากมีอาการเลือดกำเดาไหลภายใน 24 ชม.ที่ผ่านมาก่อนตรวจ ให้รอหรือเลื่อนการตรวจไปก่อน หรืออาจใช้วิธีการตรวจทางรูจมูกข้างที่ไม่มีเลือดกำเดาไหลแทน
- หากผู้ตรวจเจาะจมูก ให้ถอดห่วงที่เจาะจมูกออกก่อนแล้วค่อยตรวจหาเชื้อ หรือทำการตรวจจากรูจมูกข้างที่ไม่ได้เจาะแทน
- ชุดตรวจ Rapid Antigen Test 1 ชุด สามารถใช้ตรวจได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้
- ควรเก็บชุดตรวจ Rapid Antigen Test ไว้ในอุณหภูมิที่กำหนด และอย่าลืมตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้งานด้วย
ขอบคุณคลิปจาก : Dr.V Channel
วิธีตรวจโควิด-19 โดยใช้ Rapid Antigen Test มีขั้นตอนอย่างไร
1.ทำความสะอาดพื้นผิวที่จะวางชุดตรวจ Rapid Antigen Test โดยใช้แอลกอฮอล์เพื่อฆ่าเชื้อ
2.ทำความสะอาดมือด้วยการล้างสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์
3.ทำการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่ง ตามคำแนะนำที่ให้มากับชุดตรวจอย่างเคร่งครัด โดยส่วนใหญ่จะใช้วิธีการ Swap ด้วยการแหย่ก้านสำลีเข้าไปทางจมูก ลำคอ หรือกระพุ้งแก้ม เป็นต้น
4.จากนั้นให้นำก้านสำลีที่แหย่เสร็จแล้ว มาหมุนใส่หลอดที่มีสารละลายตรวจเชื้อ โดยหมุนวนอย่างน้อย 5 ครั้ง หรือ 15 วินาที แล้วบีบสำลีให้แห้งผ่านหลอด และต้องระวังไม่ให้มือสัมผัสกับก้านสำลีหรือสารละลาย
5.หยดสารละลายลงในแท่นตรวจ ตามจำนวนหยดที่ชุดตรวจกำหนด และรอผลตรวจประมาณ 15 – 30 นาที
Rapid Antigen Test อ่านค่าอย่างไร
ในการอ่านค่าผล Rapid Antigen Test นั้น จะดูจากจำนวนขีดที่ปรากฏขึ้นบนแท่นตรวจ
- โดยหากตรงตัวอักษร C ขึ้นมา 1 ขีด จะแสดงว่า ผลตรวจเป็นลบหรือไม่พบเชื้อ
- ส่วนหากมีขีดขึ้นมา 2 ขีดตรงตัวอักษร C และ T จะแสดงว่า มีผลตรวจเป็นบวกหรือพบเชื้อ
- แต่หากไม่มีขีดขึ้นมาเลย หรือมีขีดเฉพาะที่อักษร T จะหมายถึง ผลตรวจนั้นใช้งานไม่ได้หรือแท่นตรวจเสีย
หากมีผลเป็นบวก ( พบเชื้อโควิด ) แนะนำให้ปฏิบัติตามนี้
- ให้ไปทำการตรวจซ้ำอีกรอบด้วยวิธี PT-PCR ที่โรงพยาบาล เพื่อยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 จริงๆ
- โดยระหว่างที่รอผลให้กักตัว และหลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น
- รวมถึงต้องแจ้งให้ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดไปตรวจหาเชื้อด้วย
หากมีผลเป็นลบ ( ไม่พบเชื้อโควิด ) แนะนำให้ปฏิบัติตามนี้
- ต้องกักตัวเองอยู่ โดยเพื่อความแน่ใจควรตรวจซ้ำอีกครั้งหลังผ่านไป 5 – 7 วัน
- ถ้ามีอาการของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจให้รีบตรวจเชื้อซ้ำด้วยวิธี RT-PCR ทันที
คลิกอ่านเพิ่มเติม : โควิดนี้ต้องรอด ! รู้จักวิธี Home Isolation การแยกกักที่บ้านเมื่อติดเชื้อโควิด-19 ต้องทำอย่างไรบ้าง มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
ขอบคุณภาพจาก : Mthai
สิ่งที่ต้องทำหลังใช้งาน Rapid Antigen Test
หลังจากใช้งาน Rapid Antigen Test เสร็จเรียบร้อยแล้ว สิ่งต่อมาที่ต้องทำก็คือ การกำจัดหรือทิ้งชุดตรวจที่ใช้แล้ว โดยต้องใส่ชุดตรวจลงไปในถุงซิลแยกจากขยะประเภทอื่น และปิดปากถุงให้มิดชิด แล้วนำไปใส่ถุงขยะสีแดง พร้อมเขียนข้อความให้ระวังว่าเป็นขยะทางการแพทย์หรือขยะติดเชื้อ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
การมีชุดตรวจแบบ Rapid Antigen Test นั้นเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งจะช่วยให้สามารถตรวจหาเชื้อ และคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อได้รวดเร็วมากขึ้น แต่ในการซื้อมาใช้งานเองก็ควรที่จะเลือกให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์หรือประเภทที่รัฐกำหนด และที่สำคัญคือต้องเลือกซื้อชุดตรวจที่ขึ้นทะเบียนกับ อย. แล้วเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งาน นอกจากนี้ยังควรศึกษาข้อควรระวัง และวิธีใช้งานที่ถูกต้องด้วย เพื่อให้ได้ผลตรวจที่มีความแม่นยำและเชื่อถือได้
– – – – – – –
ช่องทางติดต่อทั้งหมด : https://rakmor.com/contact-us/
โทรติดต่อ : 062-696-8628
Line@ : @Rakmor
FB : https://www.facebook.com/Rakmormedical